วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การยืมคำจากภาษาอื่น
ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่นๆค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาไท-กะได ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น
- ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไต ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร
- อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทธิ ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทธิ ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน
คำที่ยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต
คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไต แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้คำที่ยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต
คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไต แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้- รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
- วชิระ (บาลี:วชิระ วัชระ (สันส:วัชร)
- ศัพท์ (สันส:ศัพทะ), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี:สัททะ)
- อัคนี และ อัคคี (สันส:อัคนิ บาลี:อัคคิ)
- โลก (โลก) - (บาลี-สันส:โลกะ)
- ญาติ (ยาด) - (บาลี:ญาติ (ยา-ติ))
- เสียง พ มักแผลงมาจาก ว
- เพียร (มาจาก พิริยะ และมาจาก วิริยะ อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรยะ, บาลี:วิริยะ)
- พฤกษา (สันส:วฤกษะ)
- พัสดุ (สันส: (วัสตุ); บาลี: (วัตถุ))
- เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ
- หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ (หะระติ))
- เสียง ด มักแผลงมาจาก ต
- หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ (หะระติ))
- เทวดา (บาลี:เทวะตา)
- วัสดุ และ วัตถุ (สันส: (วัสตุ); บาลี: (วัตถุ))
- กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: (กปิลวัสตุ); บาลี:(กปิลวัตถุ))
- เสียง บ มักแผลงมาจาก ป
- กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส:(กปิลวัสตุ); บาลี:(กปิลวัตถุ))
- บุพเพ และ บูรพ (บาลี: (ปุพพ))
ไวยากรณ์
ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก มาลา หรือวาจก ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงก์ ไม่มีพจน์ ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้คำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เป็นต้นว่าภาษาบาลีสันสกฤต เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำตายตัวลงไปได้ ต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม'
วรรณยุกต์
เสียงวรรณยุกต์ ในภาษาไทย (เสียงดนตรีหรือเสียงผัน) จำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่
ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่
เสียงวรรณยุกต์
|
ตัวอย่าง
|
เสียงสามัญ
(ระดับเสียงกลาง)
|
นา
|
เสียงเอก
(ระดับเสียงต่ำ)
|
หน่า
|
เสียงโท
(ระดับเสียงสูง-ต่ำ)
|
หน้า
|
เสียงตรี
(ระดับเสียงกลาง-สูง หรือ สูงอย่างเดียว)
|
น้า
|
เสียงจัตวา
(ระดับเสียงต่ำ-กึ่งสูง)
|
หนา
|
ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่
- ไม้เอก ( -่ )
- ไม้โท ( -้ )
- ไม้ตรี ( -๊ )
- ไม้จัตวา ( -๋ )
สระ
เสียงสระในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน
สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง
สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้
สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้
บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ
สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ
1. คำที่สะกดด้วย –ะ + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน
2. คำที่สะกดด้วย –อ + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี
3. คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– ดังนั้นคำที่สะกดด้วย เ– + ย จึงไม่มี
4. พบได้น้อยคำเท่านั้นเช่น เทอญ เทอม
5. มีพยัญชนะสะกดเป็น ย เท่านั้น เช่น ไทย ไชย
สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง
|
สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้
- เ–ีย ประสมจากสระ อี และ อา
- เ–ือ ประสมจากสระ อือ และ อา
- –ัว ประสมจากสระ อู และ อา
สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้
- –ำ ประสมจาก อะ + ม (อัม) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม)
- ใ– ประสมจาก อะ + ย (อัย) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย)
- ไ– ประสมจาก อะ + ย (อัย) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย)
- เ–า ประสมจาก อะ + ว (เอา) บางครั้งออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว)
- ฤ ประสมจาก ร + อึ (รึ) บางครั้งเปลี่ยนเป็น (ริ) หรือ (เรอ)
- ฤๅ ประสมจาก ร + อือ (รือ)
- ฦ ประสมจาก ล + อึ (ลึ)
- ฦๅ ประสมจาก ล + อือ (ลือ)
บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ
สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ
1. คำที่สะกดด้วย –ะ + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน
2. คำที่สะกดด้วย –อ + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี
3. คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– ดังนั้นคำที่สะกดด้วย เ– + ย จึงไม่มี
4. พบได้น้อยคำเท่านั้นเช่น เทอญ เทอม
5. มีพยัญชนะสะกดเป็น ย เท่านั้น เช่น ไทย ไชย
สระเสียงสั้น
|
สระเสียงยาว
|
สระเกิน
|
|||
ไม่มีตัวสะกด
|
มีตัวสะกด
|
ไม่มีตัวสะกด
|
มีตัวสะกด
|
ไม่มีตัวสะกด
|
มีตัวสะกด
|
–ะ
|
–ั–¹
|
–า
|
–า–
|
–ำ
|
(ไม่มี)
|
–ิ
|
–ิ–
|
–ี
|
–ี–
|
ใ–
|
(ไม่มี)
|
–ึ
|
–ึ–
|
–ือ
|
–ื–
|
ไ–
|
ไ––⁵
|
–ุ
|
–ุ–
|
–ู
|
–ู–
|
เ–า
|
(ไม่มี)
|
เ–ะ
|
เ–็–
|
เ–
|
เ––
|
ฤ, –ฤ
|
ฤ–, –ฤ–
|
แ–ะ
|
แ–็–
|
แ–
|
แ––
|
ฤๅ
|
(ไม่มี)
|
โ–ะ
|
––
|
โ–
|
โ––
|
ฦ, –ฦ
|
ฦ–, –ฦ–
|
เ–าะ
|
–็อ–
|
–อ
|
–อ–²
|
ฦๅ
|
(ไม่มี)
|
–ัวะ
|
(ไม่มี)
|
–ัว
|
–ว–
|
||
เ–ียะ
|
(ไม่มี)
|
เ–ีย
|
เ–ีย–
|
||
เ–ือะ
|
(ไม่มี)
|
เ–ือ
|
เ–ือ–
|
||
เ–อะ
|
(ไม่มี)
|
เ–อ
|
เ–ิ–³, เ–อ–⁴
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)